วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เเสงเเดดรักษาโรคซึมเศร้าได้อย่างไร

จากทีเราตากเเอดเเละได้รับเเสงเเดดอยู่ประจำ ทำให้บางคนไม่คิดเลยว่าเเสงแดงจะรักษาโรคซึมเศร้าได้ มาวันนี้ เราจะมาเเนะนำว่าเเสงเเดดรักษาโรคซึมเศร้าได้อย่างไร

ความรู้สึกเหนื่อยอ่อน วิตกกังวล และง่วงซึม นับเป็นส่วนหนึ่งของอาการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าซึ่งโรคนี้สามารถรักษาให้หายด้วยการบำบัดทางยา จิตบำบัด และธรรมชาติบำบัด โดยเฉพาะการบำบัดด้วยแสง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าการได้รับแสงแดดทุกเช้าเป็นเวลา 30 - 60 นาที จะช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากต่อมไพเนียเพื่อควบคุมการนอนหลับ โดยเมลาโทนินนั้นจะถูกกระตุ้นด้วยความมืดและยับยั้งด้วยแสงสว่าง ดังนั้นการได้รับแสงแดดยามเช้าจึงช่วยให้ผู้ป่วยสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้


ถึงแม้ว่าเมลาโทนินจะเป็นผลเสียกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแต่สำหรับคนทั่วไปควรเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อให้ร่างกายได้ผลิตสารดังกล่าวเพื่อจะเป็นส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ และทำให้ริ้วรอยก่อนวัยไม่มาเร็วเกินไปและช่วยให้เราหลับฝันดีอีกด้วย

นี่หละคะประโยชน์ของเเสงแดดที่มีต่อการรักษาโรคซึมเศร้า ทุกคนก็รู้ประโยชน์มันเเล้วก็อย่าลืม ทำตัวเองให้ว่างรับเเสงเเดดยามเช้านะจะ

อากาศร้อนมีผลอย่างไร กับอาหารของเรา

มีคำถามที่ว่าอากาศร้อน กับอาหารเป็นพิษก่อให้เกิดปัญหากับสุขภาพเราอย่างไร วันนี้จะมานำเสนอเมื่ออากาศร้อน อาหารที่เรารับประทานเข้าไปเกิดเป็น
การกินอาหาร พอเราได้รับเชื้อนี้เข้าไปจากการกินของเราเอง ก็จะทำให้ทางเดินอาหารผิดปกติไป หากภูมิคุ้มกันไม่ดี หรือไม่ค่อยแข็งแรง เชื้อก็จะทำให้ลำไส้อักเสบได้ง่ายขึ้น มีอาการอาหารเป็นพิษได้นั่นเอง แต่เราจะป่วยหลังจากที่เรากินอาหารต้องสงสัยไปแล้ว นับย้อนราวประมาณ 6-12 ชั่วโมงที่แล้ว ไม่ใช่มื้อที่เพิ่งกินเข้าไปคะ

วิธีป้องกันที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ

1. ล้างมือให้บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำควรล้างมือให้สะอาดเช็ดให้เเห้งก่อน

2. แยกอาหารสด กับ น้ำแข็งที่เราแช่ไว้กิน แยกคนละส่วน กันเพื่อป้องกันอาหารบูดเน่า

3. พยายามอย่าเปิด-ปิดตู้เย็นบ่อยๆ เดี๋ยวอุณหภูมิจะไม่คงที่ แช่ของสด หรือไอศกรีมก็ไม่แข็งเต็มที่สักที

4. ไม่ต้องประหยัดไฟให้มากนัก ในกรณีของการถอดปลั๊กตู้เย็นออกเป็นระยะ เพราะอาหารในตู้จะกลายเป็นพิษได้ ฉะนั้นเวลาหน้าร้อนต้องระวังเรื่องนี้

วิธีดูแลอาการอาหารเป็นพิษ ให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น

1. ต้องหลีกเลี่ยงอาหารต้องสงสัยเป็นพิเศษ

2. ไม่กินของมัน หรือเผ็ด ตอนที่เราป่วยอยู่

3. ดื่มน้ำให้มากๆ หากอาเจียนและท้องเสียมาก เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ

4. น้ำที่ดื่มก็ต้องเป็น น้ำเกลือแร่ น้ำหวานผสมน้ำ หรือน้ำเปล่า แต่ไม่ใช่น้ำอัดลม เพระาน้ำอัดลมอาจจะทำให้ท้องเสียได้


เอาหละครับ หน้าร้อนก็ระวังเรื่องอาหารด้วยนะคะ จะทำให้ร่างกายเราไม่เหนื่อยจากอาหารท้องเสีย ร่างกายจะได้ไม่ทำงานหนัก

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โรคภัยใกล้ตัวของสาวออฟฟิศ ที่กำลังมองข้าม

วันนี้เราจะมารู้จักกับโรคภัย อันใกล้ตัวของหนุ่ม สาวทำงานออฟฟิศกัน มันเป็นโรคที่คนไม่คาดคิดหรอก เเละบางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามันเกิดจากอะไร โรคนั้นก็คือ Office Syndrome โอ้! โรคอะไรชื่อเเปลกจัง วันนี้เราจึงมาทำความรู้จักกับโรคนี้กัน




          กำลังมาแรงสุด ๆ ในหมู่คนทำงานออฟฟิศกับ "Office Syndrome" หรือโรคภัยในสถานที่ทำงาน ซึ่งโรคภัยในออฟฟิศเป็นกลุ่มอาการที่พบบ่อยในคนทำงานออฟฟิศ ซึ่งมักมีอาการปวดคอ หลัง ไหล่ และปวดศีรษะ

          โดยอาการดังกล่าวเกิดจากสภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการตึงเครียด และกล้ามเนื้ออักเสบ ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายในบางรายมีอาการรุนแรงถึงขนาดหมอนรองกระดูกเคลื่อน

เเนวทางในการปฏิบัติเมื่อเจอโรคนี้เข้าไป

          สำหรับแนวทางการป้องกันโรคนี้คือการจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม, นั่งทำงานในท่าที่ถูกต้อง, พักสายตาจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์บ้าง, บริหารข้อมือและกล้ามเนื้อ ด้วยวิธีทำท่ากำมะเหงก เพื่อบริหารข้อมือ และบิดขี้เกียจ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ, เปลี่ยนจอคอมพิวเตอร์มาใช้แบบแอลซีดี เพื่อถนอมสายตา และนำต้นไม้กระถางเล็ก ๆ มาวางไว้ เป็นต้น สำหรับผู้ที่ทำงานหนักเป็นประจำ ควรหาเวลาพักบ้าง เช่น ลุกขึ้นเดิน หรือคุยโทรศัพท์ในเรื่องที่ไม่ทำให้เครียดบ้าง

          นอกจากนี้การมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ยังทำให้ต้องกลอกตาไปมาตลอดเวลา ทำให้กล้ามเนื้อตาต้องทำงานมากขึ้น ทำให้ปวดตา ดังนั้นวิธีป้องกัน คือ ควรพักสายตาทุก 20 นาที หลับตาทุก 1 ชั่วโมง จอคอมพิวเตอร์ควรจัดให้ต่ำกว่าระดับสายตา 15 องศา และบริหารกล้ามเนื้อตาด้วยการมองปลายปากกาในขณะที่เลื่อนปากกาเข้า-ออก

เอาหละคะหลังจากนี้ไปทุกคนควรจะดูเเลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ อย่าให้โรคมาทำร้ายเราได้คะ

บทความดีๆเพื่อมานำเสนอจาก
womanstoryonline.com

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สูตรลดน้ำหนัก 3 วันสูตรที่ 2 ทำอย่างไร

สูตรลดน้ำหนักสูตรที่ 3 นี้พี่สาวผมทำตามนี้ เขาลดลงมากกว่า 3 กก สามวันถือว่าไม่มากถามว่าเขาเหนื่อยไหม ไม่เหนื่อยคะ ยังทำงานปกติ เเต่สำหรับท่านที่อยากนำไปใช้วันนี้ผมเลยมาเสนอสูตร 3 วันอีก
รายละเอียดดังนี้


สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 2  : สูตรลดน้ำหนัก 3 วัน

         โดยทั้งสามวัน คุณสาวๆ ต้องดื่มน้ำ 2 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อค่ะ และต้องรับประทานอาหารดังนี้

 วันที่ 1   

         ตื่นมา ถ่ายให้หมด และ ดื่มน้ำสะอาด  1 ลิตร

          มื้อเช้า : ขนมปังปิ้งจนแห้ง + ส้มขนาดกลางหวานไม่มาก + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ไอศกรีม รสวนิลา 1 ลูก +แครอท น้ำบุรูท ประมาณ 50 กรัม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อเย็น : ปลาทูน่า + มะเขือเทศ สีดา 1 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล

 วันที่ 2
       
          มื้อเช้า :แก้วมังกร + แฮม 2 แผ่น + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อกลางวัน :ไข่ต้มกินไข่ขาว + ถั่วฝักยาว ต้ม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อเย็น : ผักกาดต้ม + แคนตาลูบ ต้ม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล

 วันที่ 3

          มื้อเช้า : ปลาทูน่า + ส้มเขียวหวาน ขนาดเล็ก 1 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อกลางวัน :แกงส้ม กินแต่ผัก + กินเปลือกกุ้ง + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อเย็น : ขนมปังปิ้งจนแห้ง + ลูกพรุนแห้ง 2 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล

         ระหว่างนี้ห้ามทานของมัน หรือของทอดเด็ดขาดนะคะ หลังจากรับประทานครบ 3 วันแล้ว สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ
นี่หละครับสูตร 3 วันบางคนว่า ฉันจะทำได้ไหม ผมว่าทำได้ครับ ถ้าเรามองเห็นสุขภาพเเละความสวยงามเป็นสำคัญ เราต้องเชื่อมั่นว่าเราทำได้

สูตรลดน้ำหนักสูตรที่ 1 ลดอย่างไร

ทุกวันนี้คนเราการกิน การรับประทานอาหารค่อนข้างไม่คำนึงถึงโรคอ้วน จากที่ผมไปสำรวจตามห้างเเหม กินกันอย่างอร่อย บ้างก็ไปเป็นครอบครัว คนเดียวเจ้าเธอก็ยังไป วันนี้ผมจะมาเสนอสูตรลดน้ำหนักที่ทำเเล้ว ถือว่าลดน้ำหนักได้เลยทีเดียว
สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 1
เป็นสูตรลดน้ำหนัก 7 วัน ครับสูตรนี้เร็วเลยทีเดียว โดยก่อนรับประทานอาหาร ให้ดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว และจัดอาหารแต่ละมื้อ ดังนี้


 วันที่ 1 

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้ หรือโยเกริต์
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
          มื้อเย็น : สลัดผัก

 วันที่ 2 

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
          มื้อเย็น : โยเกิรต์

 วันที่ 3

          มื้อเช้า : โยเกิรต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
          มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

 วันที่ 4

          มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
          มื้อเย็น : โยเกิรต์

 วันที่ 5

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
          มื้อเย็น : สลัดผัก

 วันที่ 6

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ปลานึ่งหรือปลาเผา
          มื้อเย็น : นมสด

 วันที่ 7

          มื้อเช้า : ข้าวสวย 1 ทัพพี และหมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวสวย 1 ทัพพี และไข่ต้ม 1 ลูก
          มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
          มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

         ส่วนวันที่แปด มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น สามารถรับประทานอาหารอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มรับประทานเหมือนที่ทำตั้งแต่วันแรกเลยคะ สูตรนี้ผมนำมาใช้เเล้วได้ผลถือว่าโอเคเลยครับ เป็นการไม่ทำให้เราเหนื่อยจนเกินไป เเละได้ผลค่อนข้าง 100% ยังไงสุขภาพมาก่อนเสมอถ้าทำได้ตามที่ผมเขียนไว้ สุขภาพท่านดีเเน่นอนคะ

เมื่อนั่งอยู่เเต่หน้าจอคอมนานๆ อาการเหล่านี้จะมาเยือนท่าน




โดยอาการพวกนี้เขาเรียกกันว่า ออฟฟิศซินโดรมนี้จะเกิดหรือพบมากในกลุ่มวัยทำงาน เกิดจากการนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ เริ่มแรกจะมีอาการปวดบ่า ไหล่ และต้นคอ  คุณก็ต้องหยุดพักก่อนเพราะหากฝืนทำงานหรืออะไรก็ตามที่คุณกำลังทำอยู่ ในระยะยาวไม่ดีแน่นอนคะ การเบรคหรือหยุดพักสัก 3-5 นาทีผมว่าถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมคงไม่ทำให้งานเราเสียหายมากหรอก อีกซ้ำยังส่งผลดีระยะยาวเเก่ตัวเราเอง
เเต่รู้ไหมปัญหาใช่ว่าจะมีปัญหาเดียว ปัญหาข้างเคียงที่พบได้อีกและบ่อยนอกจากการปวดต่างๆ ข้างต้นแล้ว คนทำงานออฟฟิศทั้งหลายจะได้รับเพิ่มเป็นโบนัสอีกก็คือ ปัญหาด้านสายตา เช่น ตาแห้ง ระคายเคืองตา ตามัวหรือพร่า ซึ่งเกิดจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ กระพริบตาน้อย อีกทั้งยังอยู่แต่ในห้องแอร์  ส่งผลให้น้ำตามีน้อยลง นอกจากนี้การเพ่งสายตาที่หน้าจอเป็นเวลานานๆ ยังทำให้ ต้องใช้สายตาตลอดเวลาทำให้กล้ามเนื้อตาต้องทำงานมากขึ้น ทำให้ปวดตาหรือกระบอกตาได้ในที่สุด จึงควรพักสายตา ทุก 1 ชั่วโมง และหยุดพัก 15-20 นาที โดยลุกและเดินเพื่อพักสายตาหรือขยับตัวเปลี่ยนท่าทางบ้าง และควรปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ต่ำกว่าระดับสายตา 15 องศา เพื่อช่วยลดอาการปวดตาและปวดคอเเละเมื่อยคอของเรา
สำหรับการเเนะนำของผมนะ อาจจะเเนะนำได้ไม่ดีพอ เเต่ก็พอสำหรับให้ร่างกายของเราปรับสภาพได้ เมื่อเกิดอาการเหล่านี้คุณควรปฏิบัติตนดังนี้ก่อนเลย
1.เงยหน้าหลบจากหน้าจอสักนิด หรือมองอะไรที่มีสีเขียวดู เพื่อทำให้สายตาปรับรับกับธรรมชาติ
2.วางต้นไม้เล็กๆ ไว้หน้าจอก็ได้เ พื่อให้สายตาคุณผ่อนคลายกับการจ้องคอมนานๆ
3.เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทบ้างก็ดีเพื่อ เว้นการกระทบเเอร์มากเกินไป หรืออาจจะเพื่อให้อากาศถ่ายเทเหมาะสม
4.หาน้ำพุมาตั้งเพื่อเพิ่มความชื้นให้อากาศในห้อง ผมหมายถึง น้ำพุแบบที่เขามีเปิดกันในสปา หรือร้านอาหารน่ะ ไม่ต้องใหญ่มาก พอประมาณคะ อันนี้เเนะนำส่วนตัวเพือทำให้อาหาศเกิดความชื้นในห้อง
5.วิธีนี้ผมใช้อยู่ ใช้ถ่านแบบเดียวกับร้านหมูกะทะน่ะคะ ใส่แจกันหรือถ้วยเล็กๆ วางไว้หน้าจอเพื่อดูดรังสีจากหน้าจอ (ช่วยได้ระดับหนึ่งน่ะ) แล้วใช้ได้นานแค่ไหน คุณสังเกตุจากสีของถ่านนะคะมันจะจางๆ ลงไป ก็เอาอันใหม่มาเปลี่ยนคะ

ขั้นตอนเหล่านี้เป้นการลดการเผชิญกับรังสีคะผม

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

10 เคล็ดลับเพื่อสุขภาพการกินในชีวิตประจำวัน

ชีวิตประจำวันเรานั้น เรารู้เพียงว่า การกินถือเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินชีวิต กินอย่างไร อยู่อย่างไรสุขภาพถึงจะดี

   ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง หลายคนทำงานบริษัทจะไม่มีอาหารเช้าเพราะต้องรีบไปทำงาน นี่หละเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ ดังนั้นควรทำชีวิตให้เป็นปกติ กินอาหารให้เป็นเวลาครบ 3 มื้อ

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

สรุป 10 ปัจจัยถ้าทำได้ สุขภาพท่านจะเเข็งเเรงเเน่นอน